วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การเลี้ยงปลากัด

การเลี้ยงปลากัด
           ภาชนะสำหรับใช้เลี้ยงปลากัดอาจเป็นขวดโหลรูปทรงต่างๆ หรือตู้กระจกขนาดเล็ก เนื่องจากปลากัดเป็นปลาที่มีนิสัยชอบต่อสู้ จึงควรแยกออกเลี้ยงเดี่ยวในภาชนะ เมื่ออายุประมาณหนึ่งเดือนครึ่งถึงสองเดือน การเลี้ยงปลากัดเป็นจำนวนมากๆ ในฟาร์มเลี้ยงปลากัดในประเทศไทย มักนิยมใช้ขวดแบนขนาด  ๑๕๐ มิลลิลิตร ซึ่งสามารถวางเรียงกันได้โดยไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่ อีกทั้งปากขวดแคบเล็ก สามารถป้องกันปลากระโดด และศัตรูปลาได้ดี สถานที่วางขวดหรือโหลควรเป็นที่โปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี  ไม่ร้อนเกินไป เพราะอุณหภูมิน้ำที่สูงเกิน ๓๐ องศาเซลเซียส  อาจทำให้ปลาตายได้เช่นเดียวกับอุณหภูมิที่ต่ำเกินไป ซึ่งจะทำให้ปลากินอาหารได้น้อย และเป็นสาเหตุให้ตายได้เช่นกัน
           ส่วนน้ำที่ใช้สำหรับเลี้ยงปลากัดจะต้องเป็นน้ำที่สะอาดปราศจากคลอรีน  บรรจุน้ำประมาณ ๓ ใน ๔  ของภาชนะที่ใช้เลี้ยง ปลากัดสามารถฮุบอากาศที่ผิวน้ำหายใจ ใช้ออกซิเจนได้โดยตรง จึงไม่ต้องให้อากาศ การถ่ายน้ำควรถ่ายน้ำ ๑ - ๒  ครั้งต่อสัปดาห์ โดยอาจเปลี่ยนน้ำทั้งหมด หรือดูดตะกอนและน้ำออกบางส่วน แล้วเติมน้ำใหม่ลงไปก็ได้           โดยธรรมชาติ ปลากัดเป็นปลาที่กินสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร เช่น ไรสีน้ำตาล ไรแดง ลูกน้ำ หนอนแดง แต่ก็สามารถฝึกให้กินอาหารเม็ดและเนื้อสัตว์ที่หั่นเป็นชิ้นเล็กได้ การให้อาหารควรให้วันละ  ๑  ครั้ง ในปริมาณที่ปลากินอิ่ม ซึ่งสังเกตได้โดยปลาจะกินอาหารทันทีที่ให้ อาหารธรรมชาติ  เช่น ไรแดง หนอนแดง และลูกน้ำที่ช้อนจากแหล่งน้ำที่ปกติค่อนข้างเน่าเสีย อาจมีโรคและปรสิตของปลาติดมาด้วย จึงควรทำความสะอาดโดยล้างในน้ำสะอาด และแช่ในด่างทับทิมเข้มข้น ๐.๕ - ๑.๐ กรัม/ลิตร  ประมาณ ๑๐ - ๒๐ วินาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ก่อนให้เป็นอาหารปลา ไรสีน้ำตาลหรืออาร์ทีเมียจะไม่มีปัญหานี้ เนื่องจากเป็นไรน้ำเค็มที่เลี้ยงในความเค็มสูง ทุกๆ ๑ - ๒  เดือน ควรล้างทำความสะอาดภาชนะที่ใช้เลี้ยง


การเลี้ยงปลากัดจีนในขวดแบนของชาวบ้านที่หมู่บ้านปลากัดหนองปากโลง จ. นครปฐม
การเพาะพันธุ์ปลากัด
          ปลากัดเป็นปลาที่ผสมภายนอก และมีการสร้างรังโดยการก่อหวอดที่ประกอบด้วยฟองอากาศที่เกิดจากเมือกในปากปลากัดจะเจริญพันธุ์พร้อมที่จะผสมพันธุ์วางไข่ได้ตั้งแต่อายุ  ๓  เดือนขึ้นไป  อย่างไรก็ตามพ่อแม่พันธุ์ที่จะใช้ผสมพันธุ์ควรมีอายุตั้งแต่  ๕ - ๖  เดือน ขึ้นไป  ปลาเพศผู้ที่สมบูรณ์พร้อมเป็นพ่อพันธุ์ที่ดีควรมีลักษณะแข็งแรง ปราดเปรียว ชอบก่อหวอดสร้างรัง ปลาเพศเมียที่เป็นแม่พันธุ์ควรสมบูรณ์แข็งแรง ปราดเปรียว มีลักษณะท้องอูมเป่ง บริเวณใต้ท้องมีตุ่มสีขาวใกล้รูก้น เห็นได้ชัดเจน ตุ่มสีขาวนี้เรียก ไข่นำ  นอกจากลักษณะกว้างๆ ดังกล่าว  ผู้เพาะพันธุ์ปลากัดอาจเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีสีสันหรือลักษณะรูปทรงของครีบแบบต่างๆ เพื่อผสมให้ได้สีสันและรูปทรงของลูกปลาตามที่ต้องการ
          เมื่อคัดปลาพ่อแม่พันธุ์ได้แล้ว ควรเอามาใส่โหล และวางโหลชิดกันให้ปลาพ่อแม่พันธุ์มองเห็นกันตลอดเวลา เพื่อเร่งไข่ให้เกิดการพัฒนาให้เร็วขึ้น วิธีนี้เรียกว่า การเทียบคู่ บริเวณที่ใช้เทียบควรปราศจากสิ่งรบกวน เวลาที่ใช้เทียบอาจประมาณ ๓ - ๑๐ วัน  ขึ้นอยู่กับว่าปลาเพศเมียจะมีความสมบูรณ์เพศระดับไหน ซึ่งสังเกตได้จากบริเวณท้องที่อูมเป่ง เมื่อตัวเมียท้องอูมเป่งเต็มที่นำปลาตัวผู้และตัวเมียมาใส่รวมกันในภาชนะที่เตรียมไว้สำหรับใช้ผสมพันธุ์ ซึ่งอาจเป็นภาชนะขนาดเล็ก เช่น  ขันพลาสติก  โหลแก้ว  ตู้กระจก อ่างซีเมนต์ หรือโอ่งน้ำซึ่งขนาดพื้นที่ไม่ควรกว้างมากนัก  เติมน้ำให้สูงจากก้นภาชนะ ๕ - ๑๐ เซนติเมตร ใส่พันธุ์ไม้น้ำที่ล้างสะอาดหรือใบไม้ เพื่อเป็นที่สำหรับก่อหวอด สร้างรังของปลา หากเป็นภาชนะขนาดเล็กที่ขอบไม่สูงมาก อาจต้องมีฝาปิดด้านบน เพื่อป้องกันปลากระโดด และป้องกันศัตรูปลา
          ประมาณ ๑ - ๒ วันหลังจากนั้น ปลาตัวผู้จะเริ่มก่อหวอดสร้างรังติดกับพันธุ์ไม้น้ำหรือใบไม้ เมื่อสร้างหวอดเสร็จแล้ว ปลาตัวผู้จะแผ่พอง ไล่ต้อนปลาตัวเมียให้ไปอยู่ใต้บริเวณหวอด เมื่อปลาตัวเมียลอยตัวมาใต้ผิวน้ำบริเวณหวอด ปลาตัวผู้จะเข้ารัดโดยงอตัวประกบรัดด้านล่าง ปลาตัวเมียก็จะปล่อยไข่ออกมา ขณะเดียวกันปลาตัวผู้จะฉีดน้ำเชื้อเข้าผสม ไข่จะค่อยๆ จมลงสู่ก้นภาชนะ  และปลาตัวผู้จะว่ายตามลงไป ใช้ปากดูดอมไข่ไว้ทีละฟองจนเต็มปาก จึงว่ายน้ำขึ้นไปพ่นติดไว้ที่หวอด แล้วว่ายขึ้นมาฮุบฟองอากาศ สลับกับการว่ายลงไปเก็บไข่ขึ้นมาพ่นไว้ที่หวอดจนหมด การรัดและวางไข่จะเกิดขึ้นหลายๆ ครั้ง จนตัวเมียวางไข่หมด แต่ละครั้งอาจทิ้งช่วงห่างกันตั้งแต่ ๑ -  ๒  นาที จนถึง  ๗ - ๘  นาที ระยะเวลาในการผสมพันธุ์วางไข่อาจใช้เวลาตั้งแต่ ๑ - ๖  ชั่วโมง เมื่อการวางไข่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวผู้จะไล่ต้อนตัวเมียให้ออกไปห่างจากรัง และทำหน้าที่ดูแลไข่เพียงลำพัง โดยปลาตัวผู้จะคอยเก็บไข่ที่หล่นจากรังกลับไปพ่นไว้ที่หวอด เมื่อสังเกตว่าปลาตัวเมียวางไข่เสร็จแล้ว ให้ช้อนปลาตัวเมียออก เพื่อป้องกันตัวเมียกินไข่ที่ผสมแล้ว จากนั้นปล่อยให้ปลาตัวผู้ดูแลไข่ต่อประมาณ  ๒  วัน จึงแยกปลาตัวผู้ออก ลูกปลาจะฟักออกเป็นตัวในระยะเวลาประมาณ ๓๖  ชั่วโมง
          ลูกปลาที่ฟักออกเป็นตัวใหม่ๆ จะเกาะอยู่ที่หวอด ในระยะนี้จะมีถุงอาหารติดตัวมาด้วย และจะใช้อาหารจากถุงอาหารนี้หมดในระยะเวลา ๓ - ๔ วัน ดังนั้นในช่วง ๓ - ๔  วันแรก จึงยังไม่จำเป็นต้องให้อาหาร หลังจากถุงอาหารยุบหมดแล้ว ลูกปลาจึงจะเริ่มกินอาหาร ซึ่งในระยะแรกต้องให้อาหารที่มีขนาดเล็ก เช่น ไข่แดงต้มสุกละลายน้ำกรองผ่านตะแกรงตาถี่  หยดกระจายให้ลูกปลาวันละ ๑ ครั้ง  หรืออาจให้โรติเฟอร์ ซึ่งเป็นสัตว์เซลล์เดียวขนาดเล็ก เป็นเวลาประมาณ  ๓ - ๕ วัน จึงให้ไรแดงขนาดเล็กที่กรองคัดโดยใช้ตะแกรงตาถี่ ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นให้ไรแดงตัวเต็มวัย  จนกว่าลูกปลาโตสามารถกินลูกน้ำได้  ในกรณีที่มีปัญหาในการหาไรแดง อาจใช้ไรสีน้ำตาล หรือไข่ตุ๋นแทนได้ ในการอนุบาลถ้าเพาะปลาในภาชนะขนาดเล็ก ให้ย้ายไปอนุบาลในภาชนะขนาดใหญ่ โดยค่อยๆ เททั้งน้ำและลูกปลาลงไปในภาชนะที่เตรียมไว้อนุบาล  ซึ่งอาจจะเป็นตู้กระจก อ่างดิน อ่างซีเมนต์ โอ่งน้ำ หรือถังไฟเบอร์ เพิ่มระดับน้ำวันละ ๓ - ๕  เซนติเมตร ใช้สายยางดูดตะกอนเศษอาหารออกเพื่อป้องกันน้ำเน่าเสีย จนประมาณ ๑๐ วัน จึงเปลี่ยนถ่ายน้ำ โดยเปลี่ยนประมาณ ๑ ใน ๔  ของน้ำทั้งหมด เมื่อลูกปลาอายุประมาณ ๑๑/๒ เดือน  ก็สามารถแยกเพศได้ ให้คัดแยกปลาออกไปเลี้ยงเดี่ยว เพื่อป้องกันการกัดกัน ลูกปลาอายุ ๑ เดือน จะมีขนาดลำตัวเฉลี่ยประมาณ ๑ เซนติเมตร และจะเพิ่มเป็นประมาณ ๓ เซนติเมตร  ในเดือนที่ ๒



ปลากัดเพศผู้ที่มีความสมบูรณ์พร้อมเป็นพ่อพันธุ์


ปลากัดเพศเมียมีท้องอูมเป่งพร้อมผสมพันธุ์
โรคและการรักษา
          ๑)  โรคจุดขาว เกิดจากสัตว์เซลล์เดียว ชื่อ อิกไทออฟทีเรียส  มัลติฟิลิส (Ichthyophthirius multifilis)  ซึ่งมักเรียกกันว่า  “อิ๊ก”  อาการจะเป็นจุดขาวบริเวณลำตัวและเหงือก ขนาดความกว้าง ๐.๕ - ๑.๐  มิลลิเมตร การรักษาให้แช่ปลาในน้ำที่ผสมฟอร์มาลิน ๒๕ - ๓๐ ส่วนในล้านส่วน และมาลาไคต์กรีน ๐.๑  ส่วนในล้านส่วน ติดต่อกัน  ๓ - ๕ วัน
          ๒)  โรคสนิม เกิดจากสัตว์เซลล์เดียวชื่อ โอโอดีเนียม (Oodinium sp.) อาการจะมีลักษณะเป็นจุดคล้ายกำมะหยี่สีเหลืองปนน้ำตาลเป็นหย่อมๆ ตามผิวหนังของปลา วิธีรักษาให้แช่ปลาในน้ำที่ผสมเกลือแกง ๑%  เป็นเวลา ๒๔  ชั่วโมง ทุกๆ  ๒  วันจนหาย    
          ๓)  โรคที่เกิดจากปลิงใส  เกิดจากปลิงใส  ๒  ชนิด  คือ ไจโรแด็กไทลัส (Gyrodactylus sp.) และแด็กไทโรไจรัส (Dactyrogyrus sp.) อาการส่วนหัวของปลาจะมีสีซีด  ส่วนลำตัวมีสีเข้ม  ครีบกร่อน และพบปลิงใสตามลำตัวและเหงือก การรักษาให้แช่ปลาในน้ำผสมด้วยฟอร์มาลิน ๓๐ - ๕๐  ส่วนในล้านส่วน หรือดิปเทอเรกซ์ ๐.๒๕ - ๐.๕  ส่วนในล้านส่วน
          ๔)  โรคเชื้อรา เกิดจากเชื้อแซโพรเลกเนีย (Saprolegnia sp.) ลักษณะอาการจะเห็นเป็นปุยขาวๆ  คล้ายสำลีตรงบริเวณที่เป็นโรค วิธีรักษาให้แช่ปลาในน้ำที่ผสมมาลาไคต์กรีน ๐.๑ - ๐.๒๕   ส่วนในล้านส่วน และฟอร์มาลิน  ๒๕  ส่วนในล้านส่วน เป็นเวลา  ๓ วัน  
          ๕)  โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย  อาการที่ปรากฏ  คือ  มีอาการท้องบวม  มีของเหลวในช่องท้องมาก การรักษาให้แช่ในน้ำที่ผสมยาปฏิชีวนะ เช่น ออกซีเททระไซคลินความเข้มข้น ๑๐ - ๒๐ ส่วนในล้านส่วน  หรือในน้ำผสมเกลือแกง ๐.๕%  เป็นเวลา  ๓ - ๕ วัน


]

โรคสนิม เห็นเป็นจุดสีเหลืองปนน้ำตาล เป็นหย่อมๆ

ภูเขาทีสูงที่สุดในประเทศไทย

ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย

ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย อันดับ 10. ดอยลังกาน้อย
10 อันดับ ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย
ดอยลังกาน้อย มีความสูง 1,800 เมตร ครอบคลุมรอยต่อของสาม จังหวัดคือ เชียงราย เชียงใหม่ และลำปาง สภาพภูมิศาสตร์เป็นเขาหัวโล้น เส้นทางก่อนจะขึ้นสู่ ดอยลังกาน้อย ค่อนข้างอันตรายมาก เป็นหน้าผาหินสูงชัน มีเพียงก้อนหินที่ถูกกัดเซาะเป็นร่องโดยแรงลมและฝีมือมนุษย์ พอให้เป็นที่ยึดเกาะและปีนป่าย บนยอดดอยเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง
ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย อันดับ 9. ยอดเขาหลวง
ยอดเขาหลวง มีเทือกเขาที่สลับซับซ้อน เป็น ยอดเขาที่สูงที่สุดในภาคใต้ มียอดเขาสูงสุดอยู่ที่ระดับ 1,835 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่ที่ อุทยานแห่งชาติเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีสภาพเป็นป่าดิบชื้นและป่าดิบเขา เส้นทางการเดินในอุทยานแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะป่าเฟิร์นโบราณและกล้วยไม้หายากนานาชนิด
ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย อันดับ 8. ยอดเขาโมโกจู
ยอดเขาโมโกจู อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร มีระดับความสูงอยู่ที่ 1,950 เมตร ซึ่งเป็นจุดสูงสุดแห่งหนึ่งในป่าตะวันตก มีหมอกและเมฆฝนปกคลุมตลอดปี จึงได้ชื่อตามภาษากะเหรี่ยงว่า “โมโกจู”แปลว่า เหมือนฝนกำลังจะตก อ่านต่อ >>
ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย อันดับ 7. ดอยช้าง
ดอยช้าง ตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง จังหวัดเชียงใหม่ จุดสูงสุดมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,962 เมตร เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกในตอนเช้า ดอยช้าง ปกคลุมด้วยป่าดิบเขาอันอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาศัยของนกนานาชนิด เช่น นกเดินดง นกจับแมลง นกเขน นกปรอด
ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย อันดับ 6. ดอยภูคา
ดอยภูคา ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 8 อำเภอ ของจังหวัดน่าน คือ อำเภอปัว อำเภอท่าวังผา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอทุ่งช้าง อำเภอเชียงกลาง อำเภอสันติสุขอำเภอแม่จริม และอำเภอบ่อเกลือ จุดสูงสุุดมีความสูงถึง 1,980 เมตร อุดมด้วย ดอกชมพูภูคา ซึ่งเป็นพันธ์ไม้หายากและมีที่แห่งนี้ที่เดียวในประเทศไทย
ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย อันดับ 5. ดอยลังกาหลวง
ดอยลังกาหลวง เป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติขุนแจ ครอบคลุมบริเวณรอยต่อ 3 จังหวัดคือเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง มีความสูงถึง 2,031 เมตร สภาพป่ามีความอุดมสมบูรณ์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเดินป่า
ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย อันดับ 4. ภูสอยดาว
ภูสอยดาว ครอบคลุมท้องที่ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และ อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก มีความสูงถึง 2,102 เมตร สภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังคือ น้ำตกภูสอยดาว การเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างสะดวกสบาย ไม่ยากลำบากเหมือนกับดอยอื่นๆ
ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย อันดับ 3. ดอยหลวงเชียงดาว
ดอยหลวงเชียงดาว มีความสูงถึง 2,195 เมตร อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นดอยที่มีความสวยโดดเด่นและแปลกตา มีทะเลหมอกที่สวยงาม การขึ้นไปยังดอยแห่งนี้ ต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งอาหารการกิน และอุปกรณ์ที่จำเป็นต่างๆ เพราะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ทั้งสิ้น อ่านต่อ>>
ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย อันดับ 2. ดอยผ้าห่มปก
ดอยผ้าห่มปก หรือ ดอยฟ้าห่มปก (คนท้องถิ่นเรียก ดอยผาหลวง) เป็นยอดเขายอดหนึ่งบนเทือกเขาแดนลาว มีความสูงถึง 2,285 เมตร เดิมอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่ฝาง ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก เหตุที่เรียกว่า ดอยผ้าห่มปก เนื่องจากต้นไม้บนเทือกเขาแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วย “มอส” ดูเหมือนมีผ้ามาห่มต้นไม้ไว้ ในช่วงฤดูหนาวเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง อ่านต่อ>>
ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย อันดับ 1. ดอยอินทนนท์
ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย
ดอยอินทนนท์ มีความสูงถึง 2,600 เมตร มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอดอยหล่อ อำเภอจอมทอง และ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย พาดผ่านจากประเทศเนปาล ภูฐาน พม่า เป็น ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมที่สุดในหมู่คนไทยและเทศ
ข้อมูล toptenthailand.com

การทักทายของแต่ละประเทศ

เมื่อเราพบผู้อื่น มารยาทพื้นฐานที่ต้องแสดงคือการทักทาย การทักทายของชนชาติต่างๆล้วนมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน และเพราะวัฒนธรรมในแต่ละประเทศแตกต่างกัน วิธีทักทายจึงแตกต่างด้วย ดังนั้นหากไม่เข้าใจวิธีทักทายของกัน ก็อาจทำให้เข้าใจผิดได้ เริ่มจาก 












อิตาลี กอดพร้อมตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ

เซเนกัล ชนเผ่าโวลอฟ ค้อมตัวลงแล้วนำหลังมือของผู้อาวุโสมาแตะหน้าผากตัวเอง

แทนซาเนีย ห้ามมองหน้าอีกฝ่ายและต้องคุกเข่าลงพร้อมตบมือขณะทักทายผู้อาวุโส

เคนยา บ้วนน้ำลายตัวเองบนฝ่ามือของอีกฝ่าย เพื่ออวยพรให้โชคดี

อินเดีย พนมมือและโค้งตัวเล็กน้อยเวลาทักทายผู้อาวุโสหรือแขก

นิวซีแลนด์ ชนเผ่าเมารี เอาจมูกแตะกันและครึงเล็กน้อย











ทิเบต ดึงหูทั้งสองข้างของตัวเองไว้พร้อมแลบลิ้น

อาร์เจนตินา หอมแก้มกันและทำเสียง"จุ๊บ"เวลาทักทาย

บราซิล ชนพื้อเมืองในบราซิลจะใช้ใบหน้าและส่วนอกสัมผัสกันพร้อมหอมแก้ม

สหรัฐอเมริกา หอมแก้มกันเมื่อทักทายเพื่อนหรือคนในครอบครัว











อะแลสกา ชนเผ่าเอศกิโมเอาจมูกแตะกันและคลึงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพและการต้อนรับ

เกาหลี ผู้อ่อนวัยจะคุกเข่าและก้มศีรษะคำนับผู้อาวุโส

อินเดียเหนือ ชาวลาดัก ทักทายโดยยกมือขวาขึ้น

อิรัก   ทักทายหญิงสาวที่ใส่ผ้าคลุมหน้าโดยใช่ฝ่ามือทาบที่หน้าอกตัวเอง   สำหรับหญิงสาวที่ไม่ใส่ผ้าคลุมหน้าใช่การจับมือ

ไทย ยกมือทั้งสองประนมไว้ ปลายนิ้วทาบสนิทกัน ก้มศรีษะลง





 






วิธีทักทายที่นิยมใช้มากที่สุดก็คือการจับมือ 

ฝรั่งเศส จะพูดว่า "บงชูร์" แนบแก้มกับแก้มของอีกฝ่ายและทำเสียงจุ๊บ

อินเดียเหนือ จะพูดว่า "ชู-เลย" ชาวลาดักไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะยกมือขวาขึ้นสูง

อินเดีย จะพูดว่า"นะมัสเต" พนมมือสองข้างและโค้งตัวเล็กน้อย

ชนเผ่าฮาวาย จะพูดว่า "อะโลฮา" ชูนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยส่ายไปมาในการทักทายเพื่อน

สหรัฐอเมริกา จะพูดว่า"ไฮ" ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนใช่การจับมือ

ชนเผ่าเอสกิโม จะพูดว่า"อัลละคุต" เอาจมูกแตะกันและคลึงเล็กน้อย

จีน จะพูดว่า"หนีห่าวมา" จับมือพร้อมส่งเสียงทักทาย







ทะเลที่สวยที่สุดใน15 อันดับ

 1. หาดไวท์เฮเวน, ประเทศออสเตรเลีย

            ณ เกาะวิธซันเดย์ ประเทศออสเตรเลีย มีชายหาดที่ขึ้นชื่อว่ามีทรายขาวสะอาดที่สุดในโลกอยู่ที่นั่นด้วย แถมยังเป็นหนึ่งในทะเลที่มีธรรมชาติสมบูรณ์มากที่สุดอีกต่างหาก จากการที่เดินทางได้โดยเรือเท่านั้น ปราศจากที่พักบนเกาะ และยังห้ามนำสุนัข รวมทั้งบุหรี่เข้าไปอีกด้วย มันจึงเป็นเหมือนเกาะที่ตัดขาดจากโลกภายนอกที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ดี แม้คุณจะชื่นชมความขาวสะอาดของทรายที่นี่มากแค่ไหน ก็แอบตักกลับไปไม่ได้หรอกนะ เพราะอาจเจอค่าปรับสูงสุดตั้ง 5 พันเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.4 แสนบาทเลยทีเดียว


หาดไวท์เฮเวน, ประเทศออสเตรเลีย

            2. หาดพูนาลู, สหรัฐอเมริกา

            หาดทรายสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกพากันมารวมตัวชมทิวทัศน์ด้วยกันที่ชายหาดพูนาลูแห่งนี้ โดยสาเหตุที่ทรายบริเวณนี้เป็นสีดำสนิทเกิดมาจากการที่หินลาวา ซึ่งยังคงร้อนระอุมาเจอกับน้ำทะเล แล้วหลอมละลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จนเป็นผืนทรายกว้างขวางในที่สุด และนอกจากทรายสีดำแล้ว เต่าทะเลที่อาศัยอยู่เต็มหาดไปหมด ยังเป็นสิ่งน่าสนใจอีกอย่างที่ทำให้ทะเลแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่โปรดของเหล่านักท่องเที่ยวอีกด้วย


หาดพูนาลู, สหรัฐอเมริกา

            3. หาดนังวี, ประเทศแทนซาเนีย
            เมื่อคุณเดินอยู่บนชายหาดในนังวี หมู่บ้านชาวประมงของเกาะแซนซิบาร์นี้ คุณจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเงียบสงบของธรรมชาติ และผืนทรายนุ่มเนียนละเอียด พร้อมน้ำทะเลสีฟ้าใสในทันที เพราะมันเป็นหนึ่งในชายหาดที่มีโรงแรมและสิ่งก่อสร้างน้อยที่สุดก็ว่าได้ จากการที่คนในหมู่บ้านรณรงค์ให้มนุษย์รุกรานสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เพื่อรักษาความเงียบสงบของที่นี่เอาไว้ แม้ปัจจุบันจะมีการสร้างอควาเรียมไว้ให้นักท่องเที่ยวเยี่ยมชมเพิ่มเติมบ้างแล้วก็ตาม


หาดนังวี, ประเทศแทนซาเนีย

          4. อ่าวทรังก์, สหรัฐอเมริกา
             อ่าวทรังก์ในหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยเกาะหลัก 3 เกาะ คือ เกาะเซนต์ครอย, เกาะเซนต์จอห์น และเกาะเซนต์ทอมัส ซึ่งความงามของอ่าวนี้ทำให้นักท่องเที่ยวแห่แหนกันมาเป็นจำนวนมากทุกปี จากการที่มีธรรมชาติใต้น้ำอันสวยงาม ที่ใครได้ลองมาใช้บริการดำน้ำที่นี่ดูสักครั้งเป็นต้องติดใจไปตาม ๆ กัน ซึ่งถ้าใครอยากรู้ว่าที่นี่มีอะไรพิเศษทำให้คนชื่นชมกันขนาดนี้กันแน่ ปีหน้าก็อย่าพลาดไปเป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวที่ได้สัมผัสความงามของทะเลแห่งนี้ด้วยตัวเองนะคะ

อ่าวทรังก์, สหรัฐอเมริกา

          5. ชายหาดซานตาโมนิกา, สหรัฐอเมริกา

             นอกจากน้ำทะเลสีฟ้าครามแสนสวยแล้ว ชายหาดซานตาโมนิกาในรัฐแคลิฟอร์เนียแห่งนี้ ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะวิวพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่น่าประทับใจเสียจนหลาย ๆ คนอดใจกดชัตเตอร์เก็บภาพความสวยงามเอาไว้ไม่ได้ และอีกอย่างที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ก็คือชิงช้าสวรรค์ที่ตั้งอยู่บริเวณชายหาดนั่นเอง เรียกได้ว่าใครมาแล้วไม่ได้ถ่ายรูปกับชิงช้าสวรรค์นี้ ถือว่ามาไม่ถึงเชียวล่ะ

ชายหาดซานตาโมนิกา, สหรัฐอเมริกา

         6. อ่าวมาหยา, ประเทศไทย

             พูดถึงชายหาดต่างประเทศมาแล้ว ก็กลับมาดูหาดสวย ๆ ในบ้านเรากันบ้างดีกว่า ซึ่งหาดที่เราพูดถึงนั้น ก็คือ อ่าวมาหยา จังหวัดกระบี่นั่นเอง โดยอ่าวขนาดเล็กรูปพระจันทร์เสี้ยวนี้ ถูกโอบล้อมด้วยหินปูนสีเทา ตัดกับน้ำทะเลสีเขียวใสที่มองลงไปเห็นผืนทราย เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามจับตา ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติพากันมาเที่ยวไม่ขาดสายอยู่ทุก ๆ ปี เห็นไหมล่ะว่าการจะไปท่องเที่ยวในที่สวย ๆ งาม ๆ ไม่จำเป็นต้องไปไกลให้เสียทั้งเงินและเวลาเลย เพราะบ้านเราก็มีทะเลสวย ๆ ไม่แพ้ที่ไหนด้วยเหมือนกันนะ
 
อ่าวมาหยา, ประเทศไทย

          7. หาดนาวาจิโอ, ประเทศกรีซ

              หากใครต้องการสัมผัสบรรยากาศแบบโจรสลัดเหมือนในหนังย้อนยุค ก็ต้องลองมาที่นี่ดูสักครั้ง เพราะอีกชื่อของหาดนาวาจิโอนี้ ก็คือ Shipwreck Beach จากการที่มันมีซากเรือแตกขนาดใหญ่ทอดตัวอยู่บนหาดทรายสีขาว ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้นักท่องเที่ยวแทบทุกคนที่มา ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ซะหน่อย เพื่อให้ตัวเองได้เก๊กท่าเป็นโจรสลัดเท่ ๆ แบบในหนังดูสักครั้ง อีกทั้งมันยังเคยมีประวัติเป็นสถานที่ลักลอบขนสินค้าหนีภาษี รวมถึงค้ามนุษย์มาก่อนในยุค 80 อีกด้วย

หาดนาวาจิโอ, ประเทศกรีซ

           8. หาดคัดมัธ, ประเทศอินเดีย

              ถ้าใครคิดจะไปที่นี่ก็คงต้องจองคิวกันยาวสักหน่อยนะ เพราะที่เกาะคัดมัธในลักษทวีป ของประเทศอินเดียนี้ มีโรงแรมอยู่แค่โรงแรมเดียวเท่านั้น แถมยังพักได้จำนวนจำกัดแค่ 50 คนอีกต่างหาก การจะจองโรงแรมไว้พักระหว่างเที่ยวชมจึงไม่ใช่เรื่อง่าย ๆ แน่ แต่ถ้าเทียบกับความสวยงามของท้องทะเลที่นี่แล้วล่ะก็ รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอนค่ะ เพราะนอกจากน้ำทะเลสีฟ้างดงามแล้ว จุดเด่นของที่นี่ก็อยู่ตรงที่แนวปะการัง ที่ได้ชื่อว่าสมบูรณ์เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกนั่นเอง
 
หาดคัดมัธ, ประเทศอินเดีย

ภาพจาก Kadmat Island

 
          9. หาดพลาญ่า เมดีน่า, ประเทศเวเนซุเอลา
              ท้องทะเลสีเขียวมรกต รับกับต้นปาล์มเขียวชอุ่มที่ขึ้นอยู่มากมายริมหาด ทำให้หาดพลาญ่า เมดีน่า ของเมืองประมง ริโอ คาริเบ ไม่ต่างไปจากสวรรค์บนดินเลยทีเดียว คนที่ได้มาจึงสามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติอันงดงามของที่นี่ได้อย่างเต็มที่ จนแทบจะไม่อยากกลับไปสัมผัสแสงสีวุ่นวายในเมืองให้เวียนหัวอีกเลย ไม่เชื่อก็ต้องลองมาสัมผัสด้วยตาตัวเองดูสักครั้งนะคะ

หาดพลาญ่า เมดีน่า, ประเทศเวเนซุเอลา

ภาพจาก Blog Centro Venezolano

         10. อันเช่ ซอส ดิ เอเจนท์, สาธารณรัฐเซย์เชลล์
             ด้วยทิวทัศน์ที่สวยงามลงตัวของชายหาดแห่งนี้ รับรองว่าจะทำให้คนที่มาทึ่งจนประทับใจไปตาม ๆ กันแน่นอน เพราะที่นี่มีครบทุกอย่างที่คุณมองหาตามท้องทะเลอันสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเลใสแจ๋ว ทรายเนียนละเอียดราวกับผงแป้งสีขาว ต้นปาล์ม และโขดหินใหญ่ ที่จัดวางเรียงกันอย่างลงตัว จนแทบจะนึกว่าถูกจัดแต่งขึ้นมาด้วยฝีมือมนุษย์ เสียมากกว่าเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติด้วยซ้ำ

อันเช่ ซอส ดิ เอเจนท์, สาธารณรัฐเซย์เชลล์

        11. หมู่เกาะโบรา โบร่า, ประเทศเฟรนช์โปลินีเซีย

             แน่นอนว่าหมู่เกาะโบรา โบร่า ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม ก็ต้องมีรายชื่อติดด้วยอยู่แล้ว นอกจากนี้ บังกะโลแบบส่วนตัวพร้อมบริการดำน้ำชมความงามของทะเลอย่างใกล้ชิด ยังทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ฮันนีมูนในฝันของบรรดาคู่รักทั้งหลายอีกด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะพาแฟนไปสวีทหวานที่ไหนดี การควงแขนกันไปพักผ่อนชมหมู่เกาะโบรา โบร่า สักหน่อยก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ

หมู่เกาะโบรา โบร่า, ประเทศเฟรนช์โปลินีเซีย 
        12. หาดเฟทิเย, ประเทศตุรกี

             นับว่าที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมากที่สุดในประเทศตุรกี โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ที่นักท่องเที่ยวมากมายจะพากันมาเล่นน้ำทะเล แถมนอกจากการชื่นชมน้ำทะเลสีฟ้าสดแล้ว เมืองเฟทิเยยังเป็นที่หลับใหลของสุสานพระเจ้าอามินตัสอันงดงามซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ 350 ปีก่อนคริสตศักราชอีกด้วย ดังนั้นหลังจากเล่นน้ำให้ชื่นใจ ก็อย่าลืมแวะไปชมความวิจิตรประณีตของศิลปะอันเก่าแก่นี้ด้วยนะคะ
 
หาดเฟทิเย, ประเทศตุรกี

        13. กลาสบีช, สหรัฐอเมริกา
             กลาสบีชที่นี่ เป็นกระจกสมชื่อเสียจริง ๆ จากการที่มีผืนทรายเป็นหินเม็ดเล็ก ๆ ที่หน้าตาคล้ายเศษกระจกสี จนมองแล้วอดหวาดเสียวเท้าไม่ได้ว่าหากเผลอไปเหยียบเข้า อาจบาดเท้าจนเป็นแผลหมดสนุกไปเลยก็ได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วมันเนียนละเอียดจนไม่ทำอันตรายเลยสักนิดเสียด้วยซ้ำ คนที่มาเล่นน้ำที่นี่จึงสามารถชื่นชมมันได้โดยไม่ต้องกลัวเจ็บตัว แถมยังมีน้ำทะเลใสแจ๋วให้เล่นกันอีกต่างหาก

กลาสบีช, สหรัฐอเมริกา

ภาพจาก Nate Maas.com

         14. หาดพาลาวัน, ประเทศฟิลิปปินส์

              แม้ว่าเมื่อพูดถึงทะเลดัง ๆ ในเอเชีย หาดพาลาวันของประเทศฟิลิปปินส์อาจจะไม่ใช่สถานที่ซึ่งคนนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ แต่ที่จริงแล้วมันน่าสนใจไม่แพ้ที่ไหน ๆ เลย โดยฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีหมู่เกาะนับพัน โดยเฉพาะชายหาดในจังหวัดพาลาวัน ที่มีเทือกเขาสูงรอบ ๆ หาด อีกทั้งยังสมบูรณ์จนพบเห็นปลาและปะการังได้ โดยไม่ต้องพายเรือไปถึงจุดดำน้ำเลยทีเดียว


หาดพาลาวัน, ประเทศฟิลิปปินส์
 
         15. หาดเดอร์เนส, ประเทศสกอตแลนด์
              ถึงแม้ว่าชายหาดของที่นี่จะไม่ได้มีต้นปาล์มสูงใหญ่เหมือนกับที่อื่น แต่ก็มีสิ่งแปลกตามีเอกลักษณ์ที่ทำให้ชายหาดแห่งนี้มีเสน่ห์ไม่เหมือนใครด้วยเช่นกัน โดยมันเป็นชายหาดที่มีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มเต็มผืนทราย มองแล้วเป็นวิวที่โดดเด่นสะดุดตา แถมยังดูอุดมสมบูรณ์มาก ๆ อีกด้วย เรียกได้ว่าสวยไม่แพ้ที่ไหน ๆ เลยจริง ๆ แถมการชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นริมหาดยังขึ้นชื่อมากเสียด้วย อย่างไรก็ดี สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของชายหาดแห่งนี้คงหนีไม่พ้น ถ้ำสมู..ถ้ำทะเลที่รวมน้ำจืดและน้ำเค็มไว้ด้วยกัน โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ซึ่งก็คือด้านทางเข้าที่เป็นน้ำทะเล, ส่วนที่สองซึ่งมีน้ำตกอยู่ภายใน และส่วนที่สามซึ่งมีลำธารน้ำจืดสายเล็ก ๆ ไหลเวียนอยู่

หาดเดอร์เนส, ประเทศสกอตแลนด์

             และในเมื่อแต่ละที่สวยจนกินกันไม่ลงแบบนี้ วันหยุดพักผ่อนที่ใกล้จะถึงก็อย่าลืมเลือกทะเลสวย ๆ สักที่ไปใช้พักผ่อนกันนะคะ รับรองว่าจะช่วยให้คุณได้มีทริปน่าประทับใจไม่รู้ลืมไปกับคนสำคัญแน่นอน และจะได้เก็บภาพสวย ๆ ไว้เป็นความทรงจำร่วมกันด้วยยังไงล่ะ